ระดับของเอไอ
เอไอมีพัฒนาการมาตลอด แต่เอไอมาถึงขั้นไหนแล้ว มีการจัดระดับความฉลาดของเอไออยู่หลายแบบ แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแค่สองแบบ แบบทั่วไป และ แบบโอเพนท์เอไอ (OpenAI) การจัดแบบทั่วไป จะใช้เกณฑ์ความใกล้เคียงมนุษย์เป็นหลักในการจัดระดับ ยิ่งใกล้มนุษย์มาก ยิ่งจัดอยู่ในระดับสูง ส่วนการจัดระดับแบบโอเพนท์เอไอจะใช้ความสามารถในการทำงานเป็นเกณฑ์ ยิ่งทำงานแทนที่มนุษย์ได้มากเพียงใด ระดับก็จะยิ่งสูงขึ้นเพียงนั้น
ระดับของเอไอแบบทั่วไป
ผู้เขียนใช้คำว่า”ทั่วไป” เพราะการจัดระดับนี้มักถูกกล่าวอ้างถึงบ่อยตามสื่อต่างๆ รวมถึงคำศัพท์ที่ใช้ในการจัดระดับนี้ก็เหมือนจะกลายเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ระดับของเอไอแบบทั่วไปจะมีสามระดับ เอเอ็นไอ เอจีไอ เอเอสไอ (ที่มา1 ที่มา2 ที่มา3)
เอเอ็นไอ (ANI: Artificial Narrow Intelligence)
เอเอ็นไอ หรือ เอไอแคบ หรือบางก็เรียกว่า เอไออ่อน (Weak AI) เอไอในกลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยให้ทำงานเฉพาะกิจเพียงเท่านั้น เช่น ไอเอที่ใช้ตัดสินว่ากล้วยเน่าหรือไม่โดยอ้างอิงจากภาพ หรือ เอไอที่ใช้พูดคุยกับผู้ใช้ เอไอที่โด่งดังอย่างแชทจีพีที (ChatGPT) ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะถูกสร้างให้พูดคุยกับผู้ใช้ผ่านการพิมพ์ข้อความเพียงเท่านั้น
เอไอที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ยังมีการแบ่งแยกย่อยได้เป็นสองกลุ่ม ได้แก่ เอไอจักรกลตอบสนอง (รีแอคทีฟแมชชีนเอไอ Reactive Machine AI) และ ความจำจำกัด (ลิมิเต็ดแมมโมรีเอไอ Limited Memory AI) จักรกลตอบสนองคือ เอไอที่ตัดสินหรือสร้างเนื้อหาโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ใส่เข้ามาล่าสุดเท่านั้น ไม่มีการเอาข้อมูลในอดีตมาร่วมด้วย ส่วนความจำจำกัดคือ เอไอที่ใช้ข้อมูลล่าสุที่ใส่เข้ามาและข้อมูลในอดีตมาร่วมตัดสินหรือสร้างเนื้อหาด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าแชทบอท (Chatbot) ตอบข้อความโดยอาศัยข้อความล่าสุดที่ผู้ใช้เพิมพ์มาเพียงอย่างเดียว แชทบอทตัวนั้นก็จะเป็นจักรกลตอบสนอง แต่ถ้าแชทบอทตอบข้อความโดยอาศัยข้อความล่าสุดที่ผู้ใช้พิมพ์มาและข้อความที่ผู้ใช้พิมพ์มาในอดีตรวมถึงข้อมูลที่เอไอตอบในอดีตมาร่วมพิจารณาด้วย ก็จะถือว่าแชทบอทตัวนั้นเป็นเอไอความจำจำกัด ตัวแชทจีพีทีจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
เอจีไอ (AGI: Artificial General Intelligence)
เอจีไอ หรือ เอไอทั่วไป หรือ บางก็เรียกว่า เอไอแข็ง (Strong AI) เอไอที่สามารถเรียนรู้วิเคราะห์ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งข้อมูลตัวอย่างจากมนุษย์เพื่อการเรียนรู้ เมื่อเจอปัญหาที่มันไม่เคยเจอมาก่อน มันจะเรียนรู้และแก้ปัญหาได้เอง เอไอระดับจะมีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์และสามารถทำงานทดแทนมนุษย์ได้ อีกทั้งอาจจะเข้าใจความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ และอาจพูดได้ว่า เอไอมี “จิตใจในทางทฤษฎี” (Theory of Mind)
เพิ่มเติม เหตุที่เรียกวา่ จิตใจในทางทฤษฎี เพราะ ปัจจุบัน ยังไม่มีใครเข้าใจว่าจิตใจคืออะไร วัดอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร รวมถึงไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตใจมีจริงหรือไม่ สิ่งที่ทำได้คือการตั้งสมมติฐานหรือทฤษฎีขึ้นมาว่าสิ่งที่มีจิตใจต้องทำอะไรได้บ้างเพียงเท่านั้น ปัจจุบันสิ่งที่มีจิตใจในทางทฤษฎีจะต้องมีความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ (ที่มา)
เอเอสไอ (ASI: Artificial Super Intelligence)
เอเอสไอ หรือ เอไอขั้นสุด เป็นเอไอที่เหนือกว่าเอจีไอ มีลักษณะที่เหมือนมนุษย์มากที่สุด ยังไม่มีใครแน่ใจว่าเอไอระดับนี้ต้องเป็นอย่างไร หรือ ทำอะไรได้บ้าง เพราะความจริงตัวมนุษย์ก็ไม่อาจเข้าใจมนุษย์ด้วยกันเองได้ทั้งหมด แต่ที่แน่ๆ เอไอในระดับนี้จะต้องมี “การตระหนักในตัวตน” (Self-Aware AI) คือ มีความต้องการและมีเป้าหมายของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครหรือสิ่งใดมาชี้นำเอไอได้อีกต่อไป
ระดับของเอไอในแบบโอเพนท์เอไอ
โอเพนท์เอไอเป็นองค์กรแนวหน้าในสายงานเอไอ ได้มีการจัดระดับของเอไอไว้ห้าระดับ ได้แก่ สื่อสาร ใช้เหตุผล อัตโนมัติ วิวัฒนาการ และ คุมองค์กร (ที่มา)
สื่อสาร (Conversational AI)
เอไอที่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ตอบโต้กับมนุษย์ได้ แต่ยังไม่สามารถคิดวิเคราะห์เหตุผลได้ คำตอบที่ได้จากเอไอ ล้วนมาจากสิ่งที่มันเคยประสบมาเท่านั้น เอไอในปัจจุบันสามารถทำได้ในระดับนี้แล้ว
ใช้เหตุผล (Reasoning AI)
เอไอที่สามารถแก้ไขปัญหาหรือตอบโดยใช้เหตุผล ไม่ใช่การตอบจากตัวอย่างคำถามคำตอบที่มันเคยเจอ อย่างเช่น “กรรแสง มี ร กี่ตัว” การจะตอบปัญหานี้ได้เอไอจะต้องเข้าใจคำถาม ต้องเข้าใจวิธีการนับ ต้องเข้าใจภาษไทย เป็นคำถามง่ายๆที่เอไอมักจะตอบผิดเพราะมีบางอย่างที่มันไม่เข้าใจ เอไอระดับนี้สามารถใช้เป็นผู้ช่วยงานคนจริงได้ แต่ก็ยังเป็นคนที่ต้องตัดสินใจและแก้ไขปัญหาเองอยู่ดี เอไอในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ระดับนี้
อัตโนมัติ (Autonomous AI)
เอไอที่สามารถทำงานแทนคนได้หนึ่งคนโดยที่ไม่ต้องมีคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เอไอที่สามารถทำได้ในระดับนี้จะถูกเรียกว่า เอเยนต์ (Agent) ทำงานร่วมกับคนเสมือนเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง
วิวัฒนาการ (Innovating AI)
เอไอที่ไม่ใช่แค่ทำงานแทนคนหนึ่งคน แต่ยังหาข้อผิดพลาด แก้ไข และ พัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง
คุมองค์กร (Organizational AI)
เอไอที่สามารถทำงานทุกอย่างในองค์กรได้ทั้งหมด มีการคุมเอเยนต์ให้ทำงานสอดประสานกัน และ สามารถกำหนดเป้าหมายได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในองค์กรอีกต่อไป ทางซีอีโอของโอเพนท์เอไอเชื่อว่าจะต้องใช้เวลา 10 ปี ถึงจะพัฒนาเอไอได้ระดับนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็เชื่อว่าต้องใช้เวลา 50 ปีกว่าจะได้ถึงระดับนี้
